วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อธิบายคำสั่ง


<?php
$sql ="select * from student order by id asc "; //กำหนดตัวแปร $sql ให้เลือกทั้งหมดของตาราง student และให้เรียงจากน้อยไปมาก
$query=mysql_query($sql) or die(mysql_error()); //กำหนดตัวแปร $query ให้ประมวลตัวแปร $sql และตรวจ error
$num=mysql_num_rows($query); //กำหนดตัวแปร $num โดยมาจากการนับจำนวน row ของตัวแปร $query
echo $num; //แสดงผลของตัวแปร $num
?>

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

if-else

<?php
$score=75;
if($score < 50)
{echo 'grade 0';}
else if($score < 55)
{echo 'grade 1';}
else if($score < 60)
{echo 'grade 1.5';}
else if($score < 65)
{echo 'grade 2';}
else if($score < 70)
{echo 'grade 2.5';}
else if($score < 75)
{echo 'grade 3';}
else if($score < 80)
{echo 'grade 3.5';}
else{echo 'grade 4';}

?>

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

การใช้และการเก็บรักษากล้องถ่ายรูป





  เนื่องจากกล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ มีราคาแพง และค่อนข้างบอบบาง ดังนั้นย่อมต้องการการระมัดระวังบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1. การจับถือกล้องถ่ายรูป ควรปฏิบัติดังนี้ คือ
  1. ใช้สายสะพายกล้องคล้องคอเสมอ เพื่อป้องกันการตกหล่น กระทบกระแทก อันอาจทำให้เกิดการชำรุดเสียหายได้
  2. ใช้มือซ้ายรับน้ำหนักตัวกล้องในขณะถ่ายรูป ให้ฐานกล้องอยู่บนอุ้มมือนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้มือข้างซ้ายใช้สำหรับแต่งความคมชัด และรูปรับ รับแสงที่ต้องการ
  3. ใช้มือขวาจับตัวกล้องด้านขวามือ หัวแม่มือใช้ในการเลื่อนฟิล์มขึ้นชัดเตอร์ และนิ้วชี้กดลั่นไก นอกจากนั้นนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ยังใช้ปรับเปลี่ยน ความเร็วชัดเตอร์บนตัวกล้อง
  4. ทิ้งน้ำหนักตัวให้อยู่ระหว่างเท้าทั้งสอง โดยแยกเท้าให้ห่างกันเล็กน้อย เพื่อเป็นหลักอันมั่นคงในการทรงตัว
  5. แขนทั้งสองแขนแนบชิดลำตัว แต่ไม่เกร็งทั้งนี้เพื่อให้กล้องนิ่งมือไม่สั่น เพราะถ้ามือสั่นแล้วภาพที่ได้จะไหว
  6. ในบางกรณีอาจต้องการยืนพิงผนัง ต้นไม้ รั้ว เป็นต้น เพื่อให้ได้ภาพสวยงาม โดยเฉพาะในเวลาถ่ายรูปที่แสงไม่พอ จำเป็นต้องใช้ความเร็วชัดเตอร์ต่ำ ๆ ตั้งแต่ 1/30 ลงมา การจับถือกล้องให้นิ่งทำได้ลำบาก จำเป็นต้องใช้เทคนิคดังกล่าว และใช้สายลั่นไกแทนการกดที่ปุ่มลั่นไกก็ได้
  7. ในขณะกดชัดเตอร์ถ่ายรูปกลั้นหายใจไว้ชั่วครู่ จนกว่าการถ่ายรูปจะเสร็จสิ้นควรระลึกเสมอว่า ปุ่มกดชัดเตอร์จะทำงาน เมื่อถูกกดลงไปประมาณ 2 ใน 3 และถ้าต้องการให้กล้องนิ่งมั่นคงยิ่งขึ้นอาจใช้สายกล้องคล้องคอ แล้วพันที่มือขวาอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยในการยึดกล้องได้ดีมาก
2. การเก็บรักษากล้องและอุปกรณ์ควรปฏิบัติดังนี้ คือ
  1. ใช้กล้องอย่างระมัดระวัง การปรับเปลี่ยนปุ่มความไวแสงและขนาดรูรับแสงต้องทำอย่างช้า ๆ เพราะกล้อง อาจชำรุดเสียหายถ้ากลไกต่าง ๆ ไม่เข้าที
  2. ปิดสวิทส์เครื่องวัดแสงทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน
  3. ไม่วาง หรือเก็บกล้องในที่สั่นสะเทือนเพราะอาจทำให้กล้องเสียหายบุบสลายหรือกลไกบางส่วนไม่ทำงานได้
  4. ห้ามใช้น้ำมันหยอดทุกส่วนของกล้อง มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถหยอดน้ำมันได้ ซึ่งควรถอดชิ้นนั้น ๆ มาหยอดน้ำมันข้างนอกแต่ถ้าหากไม่แน่ใจ ไม่ควรหยอดน้ำมันเอง
  5. เมื่อเลิกใช้งานต้องปรับวงแหวนความคมชัดของเลนส์ ไว้ที่ระยะไกลสุดขอบฟ้า ที่เรียกว่า ระยะอินพินิติ้ (Infinity)
  6. เมื่อเลิกใช้งานต้องปรับรูรับแสงให้มีขนาดโตเต็มที่เช่นเลนส์ที่มีความ ไว F 1.2 ต้องปรับไว้ที่ F1.2 ทั้งนี้เพื่อลดการทำงานของสปริงบังคับหน้ากล้อง
  7. มื่อเลิกใช้งานต้องตั้งความเร็วชัดเตอร์ไว้ที่ B (Brief หรือ Bulb) และไม่ควรขึ้นชัตเตอร์ เอาไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน
  8. ศึกษาคู่มือการใช้กล้องให้เข้าใจถ่องแท้
  9. ควรเก็บกล้องไว้ในซองหรือกระเป๋ากล้องเสมอ
  10. ไม่ควรเก็บกล้องไว้ในที่ ๆ ร้อนจัด เช่น ในรถยนตร์ หรือที่ชื้นเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดราขึ้นได้
  11. ควรมียากันชื้นหรือพวกซิลิกอนเจล ติดอยู่ภายในกระเป๋ากล้องเสมอ
  12. ไม่ควรเก็บกล้องรวมกับเสื้อผ้า เพราะความชื้นสูงอาจทำให้กล้องและเลนส์เกิดเชื้อราได้ง่าย
  13. ระมัดระวังอย่าให้ละอองน้ำ หรือน้ำทะเลสัมผัสกล้อง ควรใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำจืดที่สะอาด ๆ พอหมาด ๆ เช็ดตัวกล้องทันที และถ้าถูกเลนส์ต้องใช้ น้ำยาเช็ดเลนส์ และกระดาษเช็ดเลนส์ทำความสะอาดทันทีเช่นกัน
  14. การเก็บกล้องไว้นาน ๆ โดยไม่ได้ใช้ต้องนำออกตรวจสอบการทำงานอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยปฏิบัติเหมือนการถ่ายรูปปกติ หรืออาจจะนำมา เพียงขึ้นชัดเคอร์ และกดลั่นไกเพื่อให้ระบบการทำงาน ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเสมอ ๆ 2.15 ถ้ากล้องเกิดการชำรุดขัดข้องอย่าซ่อมด้วยตนเองถ้าท่านไม่รู้วิธีการซ่อม อย่างจริงจัง ควรจัดส่งให้ช่างผู้ชำนาญงานได้ ตรวจซ่อมให้ และโปรดระลึก เสมอว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย 
ขายไอเดีย!! สายคล้องกล้องพลังงานแสงอาทิตย์ ชาร์จไฟไปเดินถ่ายไป
 

เป็นผลงานการออกแบบที่ดูเข้าท่าดีไม่น้อยเหมือนกันกับสายคล้องกล้อง พลังงานแสงอาทิตย์ โดยสาคล้องกล้องตัวนี้จะช่วยชาร์จไฟให้กับกล้องตัวโปรดของคุณยามออกไปถ่าย รูป ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างทริป เพราะสายคล้องกล้องตัวนี้จะชาร์จไฟผ่านช่องต่อสาย DC โดยอาศัยแผงโซลาร์เซลล์บนสายเป็นตัวสร้างพลังงานนั่นเอง สำหรับผลงานการออกแบบนี้เป็นของ Weng Jie เห็นแล้วก็บอกได้เลยว่าน่าใช้ แต่วางขายที่ไหน ค้นหาแล้วไม่เห็นมี สงสัยยังเป็นแค่ไอเดียอยู่

 


ภาพเหตุการณ์ปล่อยจวรด LADEE ของ NASA พร้อมกบ!!

 ลองดูภาพถ่ายนี้ดูครับ แล้วดูว่ามีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ นี่คือภาพการปล่อยจรวด LADEE (Lunar Atmosphere and Dust Environment Explorer) ซึ่งเป็นโครงการศึกษาชั้นบรรยากาศและสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์ ภารกิจนี้จะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศรวมถึงฝุ่นละอองที่เกิดขึ้น จากดวงจันทร์เพื่อทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับระบบสุริยะ



กลับเข้ามาเรื่องภาพถ่ายกันต่อดีกว่า ภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา ด้วยกล้องที่ติดตั้งทริกเกอร์ถ่ายภาพให้อัตโนมัติ และหนึ่งในภาพถ่ายนั้นมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในภาพด้วยตรงบริเวณกลุ่มควัน นั่นคือ กบนั่นเอง!! ภาพดังกล่าวได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีการรีทัชภาพแน่นอน และ NASA เองก็ยอมรับว่ากบตัวดังกล่าวในภาพนั้นมันอยู่เหนือการควบคุมจริงๆ

 

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

เทคนิคการเลือกซื้อเลนส์กล้อง DSLR 




  เลนส์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน ดังนี้
1. เลนส์มาตรฐาน (Standard Lens)
2. เลนส์มุมกว้าง (Wide Angle Lens)
3. เลนส์เทเล (Telephoto Lens)

 เลนส์มาตรฐาน (Standard Lens) เลนส์ประเภทนี้จะให้มุมมองระหว่าง 45-55 องศา ซึ่งมีความใกล้เคียงกับสายตาคนเรา พูดง่ายๆ คือสายตาเรามองเห็นอย่างไร เมื่อมองผ่านเลนส์ก้ได้ภาพที่ไม่มีความแตกต่าง ซึ่งภาพที่ได้จากเลนส์ชนิดนี้จะดูเป็นธรรมชาติ ไม่บิดเบือน จนบางครั้งทำให้ภาพดู “ธรรมดา” ไป เลนส์ชนิดนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายรูปแบบ ถือได้ว่าเป็นเลนส์สารพัดประโยชน์ตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งความยาวโฟกัสคือ 50 มม. (กล้องฟูลเฟรม) หรือ 35 มม. (กล้องตัวคูณ) นั่นเอง

 เลนส์มุมกว้าง (Wide Angle Lens) สำหรับเลนส์ชนิดนี้ก็มีหลากหลายรูปแบบและความยาวโฟกัส โดยเริ่มตั้งแต่ 8-35 มม. เลนส์ชนิดนี้ยิ่งกว้าง ก็ยิ่งต้องใช้งานแบบเฉพาะด้าน ซึ่งถ้าเป็นเลนส์แบบกว้างมากๆ  ภาพที่ออกมาจะบิดเบือนสูง ช่วงเลนส์มุมกว้างที่ถือได้ว่ามีประโยชน์และสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย จะอยู่ในช่วงระหว่าง 24-28 มม. (กล้องฟูลเฟรม) หรือ 17-18 มม. (กล้องตัวคูณ สำหรับการใช้งานนั้น เลนส์มุมกว้างนี้ เหมาะที่สุดสำหรับการใช้งานในสถานที่แคบๆ เพราะอะไรถึงเหมาะกับสถานที่แคบ ก็เพราะว่าสามารถเก็บภาพได้กว้างกว่าที่ตาเรามองเห็น และอีกอย่างเลยเหมาะมากสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ หรือ ภาพเพราะว่ามีความชัดและลึกสูง ทำให้ได้ภาพที่ต้องการความคมชัดทั้งภาพนั้นทำได้ค่อนข้างง่ายเลยทีเดียว

เลนส์เทเล (Telephoto Lens) ต่อมาก็ประเภทสุดท้ายคือเลนส์เทเลซึ่ง คุณสมบัติหลักของเลนส์เทเล ก็คือสามารถทำให้เราถ่ายภาพวัตถุหรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ไกลๆ ได้เสมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมเรา ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับเหล่าช่างภาพกีฬาหรือช่างภาพที่ภาพภาพสัตว์ป่า ที่ต้องถ่ายภาพในระยะไกล นอกจากนี้เลนส์เทเลยังสามารถนำมาดัดแปลงใช้กับภาพวิวทิวทัศน์ในกรณีที่ต้อง การเรารายละเอียดเฉพาะส่วนของทิวทัศน์ได้ ยังไม่หมดค่ะสำหรับประโยชน์ของเลนส์ประเภทนี้ คือนอกจากที่กล่าวมาแล้วเลนส์เทเล ยังเหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลหรือวัตถุใดก็ตาม ในกรณีที่ต้องการแยกตัวแบบออกจากฉากหลัง เมื่อเราโฟกัสที่ตัวแบบ หรือ วัตถุ ฉากหลังก็จะเบลอ ทำให้บุคคลหรือวัตถุเด่นชัดขึ้นมา ทำให้ภาพถ่ายมีมิติและสวยขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

มือใหม่อยากซื้อกล้อง

  สำหรับบทความนี้ TechXcite หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้มือใหม่ที่อยากเล่นกล้อง DSLR ได้อ่าน และได้ข้อคิดก่อนตัดสินใจซื้อกล้อง DSLR สักตัว สำหรับผู้ที่มองหากล้อง DSLR อยู่ คงอยากรู้ว่าจะต้องเลือกกล้องรุ่นไหน ยังไง ซื้อตัวไหนดีระหว่าง....กับ..... ซึ่งคำถามเหล่านี้จะผุดขึ้นในหัวทุกครั้งของมือใหม่ที่กำลังลังเลและมองหากล้อง DSLR ดีๆสักตัวไว้ใช้งาน นี่คือคำแนะนำในการคิดเลือกซื้อกล้อง DSLR ที่ TechXcite อยากจะแนะนำ เพราะไม่สามารถอธิบายเฉพาะเจาะจงเป็นยี่ห้อหรือรุ่นได้หมด และไม่สามารถฟันธงได้ว่ายี่ห้อไหนดีกว่ายี่ห้อไหนได้ ซึ่งหลายท่านเองมักจะมีคำถามคล้ายๆกันว่า Canon หรือ Nikon ดีกว่ากัน เป็นต้น (จริงๆแล้วยังมีอีกหลายยี่ห้อ เช่น Sony Pentax)





 
 1. ถามตัวเองก่อนว่า พร้อมจะใช้ DSLR หรือยัง เพราะหากคุณเป็นมือใหม่จริงๆที่ไม่เคยจับกล้อง DSLR และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องถ่ายภาพ ขอแนะนำว่าไม่ควรใช้ DSLR แม้กล้อง DSLR จะช่วยให้ได้ภาพสวยมากๆก็จริง แต่ความสวยนั้นต้องแลกมาด้วยราคาและที่สำคัญ "ไม่ง่ายอย่างที่คิด" แน่นอนว่าคุณต้องเสียเงินเพื่อแลกกับสารพัดเลนส์ที่ช่วยให้เก็บภาพได้ตามที่ต้องการ เลนส์มาโครสำหรับถ่ายแมลง ถ่ายดอกไม้ ราคาไม่ต่ำกว่าหมื่น หากอยากถ่ายวิวกว้างๆ ต้องซื้อเลนส์มุมกว้างซึ่งราคากว่า2หมื่น ยังไม่นับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น แฟลช กระเป๋า เมมโมรี่การ์ด แถมคุณยังต้องมางงกับสารพัดเมนูที่กล้อง DSLR อาจทำให้กลายเป็นกล้องที่ถ่ายแล้วไม่สวยก็เป็นได้ ดังนั้นถามตัวเองว่าพร้อมแล้วใช่ไหมสำหรับการเล่นกล้อง DSLR หากคุณพร้อมแล้วที่จะใช้กล้อง DSLR และเป็นมือใหม่ที่พร้อมเรียนรู้ อ่านข้อต่อไปได้เลย

 2. เตรียมงบประมาณ เมื่อพร้อมแล้วที่จะเอาดีและรักการถ่ายภาพจริงๆ หรือมีเงินเหลือใช้แล้วอยากได้กล้อง DSLR ไว้สะพายสักตัว ขอให้คุณเตรียมงบไว้เลยว่ามีงบเท่าไรที่จะลงทุนซื้อกล้อง DSLR สักตัว แต่ที่แน่ๆถ้าเป็นของใหม่ออกห้างแน่นอนว่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น (ซึ่งมือใหม่น้อยคนนักที่จะกล้าไปซื้อมือสองมาใช้) ดังนั้นเตรียมเงินในกระเป๋าไว้เลย และที่จะแนะนำต่อไปคือ เตรียมแค่ 2 หมื่น อาจจะไม่เพียงพอสำหรับโครงการกล้องตัวแรก เพราะคุณจะต้องซื้อฟิลเตอร์ ซื้อกระเป๋ากล้องมาอีกต่างหาก (ร้านค้าส่วนใหญ่ จะแถมฟิล์มกันรอย เมมโมรี่การ์ด ชุดทำความสะอาด หรือแม้แต่ขาตั้งกล้องที่ใช้จริงไม่ได้มาให้) เจียดงบส่วนต่างไว้อีกสัก 1000 บาทขึ้นไปสำหรับอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ด้วย สุดท้ายคือของดีย่อมมาพร้อมกับราคาที่แพงกว่า ขึ้นอยู่กับว่าซื้อมาแล้วได้ใช้เต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า

3. เลือกรุ่นตามงบประมาณที่ได้กำหนดไว้ กำตังค์ไว้ให้ดีแล้วจัดการหาข้อมูลว่ามีกล้องรุ่นใดบ้างที่อยู่ในงบประมาณที่วางไว้ จะซื้อเลนส์หรืออุปกรณ์เสริมอื่นด้วยหรือเปล่า (แต่มือใหม่ส่วนใหญ่มักจะมองหาแค่กล้องกับเลนส์คิทสักตัวก็บอกว่าพอแล้ว) แหล่งข้อมูลในปัจจุบันมีทั้ง อินเทอร์เน็ต นิตยสาร โบรชัวร์ เพื่อนๆรอบข้างที่พอมีความรู้หรือลองไปดูที่ร้านเลยก็ได้ จากนั้นจัดการรวบรวมรุ่นที่อยู่ในงบประมาณมาลองดูว่ามีรุ่นไหนบ้าง เช่นงบซื้อเฉพาะบอดี้กล้องไม่เกิน 30,000 บาท ลองดูว่ามีรุ่นไหนที่ราคาไม่เกินงบในกระเป๋าแล้วจดออกมา

4. อ่านสเป็คให้เป็นก่อน มือใหม่หลายท่านมักจะตั้งคำถามว่ารุ่นนี้ดีกว่าอีกรุ่นอย่างไร นี่เป็นเพราะว่าคุณเลือกรุ่นได้แล้วที่อยู่ในงบประมาณ แต่ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไร ทำไมอีกตัวแพงกว่าแค่ 2 พัน อีกยี่ห้อราคาเท่ากัน แล้วแบบนี้จะเลือกอย่างไรล่ะ มันต่างกันตรงไหนบ้าง ฉะนั้นคุณต้องอ่านสเป็คให้เป็นก่อนซื้อและขอบอกเลยว่าไอ้เจ้าสเป็คนี่แหละทำเอาปวดหัวเพราะมันจะสาธยายเป็นตัวเลขและศัพท์แปลกๆที่ไม่รู้ว่าจะช่วยให่เราได้รูปสวยๆจริงหรือเปล่า การอ่านสเป็คจะเป็นสิ่งที่ช่วยตัดสินใจได้ในระดับหนึ่ง เช่น ที่ราคามันต่างกัน เพราะว่า มันมีหน้าจอบิดพับได้ ใช้แฟลชไร้สายได้ พร้อมแต่งภาพในตัวกล้องได้เลย เป็นต้น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่ากล้องตัวนั้นตกรุ่นราคามันเลยเท่ากับรุ่นเล็กที่ออกมาใหม่ ดังนั้นแนะนำได้เลยว่าหาความรู้เกี่ยวกับการอ่านสเป็คไว้ก่อนซื้อกล้องไม่เสียหาย ส่วนเรื่องค่ายกล้องนั้น ต้องบอกว่าแต่ละยี่ห้อก็มีเทคโนโลยีที่โดดเด่นของตัวเอง ฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณชื่นชอบยี่ห้อไหนเป็นทุนเดิมอยู่หรือเปล่า ยังไม่หมดนะ ยังไม่รวมถึงการคิดเผื่ออนาคตเมื่อต้องการอัพเกรดหรือซื้ออุปกรณ์เพิ่ม รวมถึงราคาขายต่อ (เหตุผลที่คุณเห็น Nikon และ Canon เดินกันเกลื่อนเมืองก็เพราะซื้อง่ายขายคล่องนี่แหละ ยังไม่รวมถึงอุปกรณ์เสริมที่หาง่าย มีให้เลือกหลากหลายกว่ายี่ห้ออื่นๆ)

 5. ไปลองจับตัวจริง แนะนำแบบนี้เพราะว่าคุณจะรู้สึกได้เลยว่าถูกชะตากับตัวไหน แถมได้รู้ด้วยว่าร้านไหนต้อนรับและมองคุณเป็นลูกค้ามากกว่าเป็นหมูให้ฟัน หรือบางร้านอาจจะไม่แยแส ถามคำตอบคำ แบบนี้อย่าหวังเรื่องบริการหลังการขายเลย การได้ลองตัวจริงคุณจะได้รู้ว่าจับถือถนัดมือหรือไม่ ปุ่มกดต่างๆใช้ง่ายหรือไม่ หรือหน้าตาตัวไหนถูกใจ เรียกว่ากล้องตัวไหนจับแล้วรู้สึกว่ามันกำลังยิ้มให้คุณ เลือกตัวนั้นแหละ เนื้อคู่กันแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ดูมาแล้วทั้งสเป็กทั้งราคา เหลือแค่สัมผัสตัวเป็นๆนี่แหละ

 6. รับประกันหลังการขาย เนื่องจากปัจจุบันกล้อง DSLR มีการขายที่เรียกกันว่าประกันร้าน ประกันศูนย์ กล้องที่เรียกว่าประกันร้านนั่นก็คือกล้องที่ไม่มีการรับประกันจากบริษัทที่นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ บางครั้งก็เรียกกันว่ากล้องหิ้วเพราะเปิดกล่องออกมาต้องผงะกับใบรับประกันภาษาฮิบรู แถมคู่มือการใช้งานยังเป็นภาษาฮิบรูด้วยอีกต่างหาก ยังไม่พอครับถ้าแจ็กพ็อตอาจได้กล้องที่มีแต่ภาษาอังกฤษกับภาษาฮิบรู แสดงว่าต้องหิ้วมาจากที่ไหนสักแห่งในโลกแน่ๆมันจึงพูดไทยไม่เป็น ส่วนของประกันศูนย์นั้นจะต้องมีใบรับประกันที่ออกโดยตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ส่วนใหญ่มีคู่มือภาษาไทย และกล้องเองมีเมนูภาษาไทยด้วย (แต่โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยน่าซีเรียสสำหรับกล้องรุ่นใหม่ๆเพราะมีให้เลือกแทบทุกภาษาไม่ว่าจะกล้องประกันร้านหรือประกันศูนย์) สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ กล้องประกันร้านราคาถูกกว่า แต่เอาเข้าศูนย์บริการในเมืองไทยแล้วถือว่าไม่อยู่ในประกัน คุณต้องเอากล้องตัวนั้นไปเคลมกับร้านที่ซื้อมาเท่านั้น (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีบริการหลังการขายดีแค่ไหน) อยู่ที่การตัดสินใจของคุณว่าจะประหยัดเงินแล้วเสี่ยงดวง หรือ ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อความอุ่นใจ แต่สำหรับมือใหม่ขอแนะนำซื้อประกันศูนย์สบายใจกว่าครับ



  7. ก่อนซื้อใจเย็นๆแล้วรอดูโปรโมชั่น นอกเสียจากว่าคุณรีบร้อนต้องซื้อวันนี้ เดี๋ยวนี้ เพราราคาแต่ละร้านแม้ว่าจะเป็นประกันศูนย์ก็สามารถต่อรองได้นิดหน่อยถ้าจ่ายด้วยเงินสด หรืออาจจะมีโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิตที่ให้ผ่อน 0% ช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน และที่น่าสนใจก็คือหากมีการจัดงานมหกรรมลดราคาต่างๆ นอกเหนือจากราคาที่ถูกกว่าปกติ ยังได้ของแถมมากมายแถมมีลุ้นชิงโชคอีกต่างหาก บางคนเคยได้กล้องราคาเท่าประกันร้านแถมได้ของแถมติดไม้ติดมือเยอะแยะ ยังไม่พอผ่อน 0% ได้แล้วเอาแต้มในบัตรเครดิตไปแลกของได้อีก เยอะจริงๆ กำเงินไว้แน่นๆ อย่าให้กิเลสครอบงำจนหน้ามืดไปคว้าของแพงมา เช็คราคาหลายๆร้านไว้ด้วยก่อนตัดสินใจ สำหรับงานมหกรรมลดราคาที่น่าสนใจก็เช่น งาน Powerbuy หรือไม่ก็งาน Photo Fair เป็นต้น

 8. ซื้อมาแล้วต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ หากจะเอาจริงเอาจังกับกล้อง DSLR เพราะไม่อย่างนั้นคุณจะใช้กล้อง DSLR ถ่ายรูปไม่สวย โฟกัสไม่เข้า เบลอ วัดแสงผิด ใช้กล้องคอมแพ็กหรือกล้อง DSLR-Like ยังจะถ่ายสวยกว่า นอกจากนี้คุณจะต้องรักการถ่ายรูป ไปเที่ยวก็ถ่ายรูป ออกทริปเข้าสังคมก็เพื่ออยากถ่ายรูป เข้าเว็บ TechXcite มาอ่านบทความนี้ก็เพราะชอบเรื่องกล้องถ่ายรูป แล้วเตรียมใจไว้เลยว่าคุณจะต้องมีอุปกรณ์งอกเงยขึ้นมาแน่นอนถ้าไม่เบื่อไปเสียก่อน ^_^

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

25 เคล็ดลับการเลือกซื้อกล้องดิจิตอล

 25 เคล็ดลับ การเลือกซื้อกล้องดิจิตอล


1. กำหนดงบประมาณ
ก็เหมือนกับการเลือกซื้อของทุกอย่าง ที่คุณจะต้องรู้ก่อนว่าคุณมีงบกี่บาท เพราะการที่คุณไปยืนเลือกซื้อแน่นอนว่าจะต้องมีกล้องตัวที่ดีกว่า สวยกว่า และอาจจะแพงกว่า ถ้าคุณไม่อยากกระเป๋าฉีกก็กำหนดไว้เลยว่ามีงบเท่าไร สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้มองหากล้องราคาถูก ที่มีฟังก์ชั่นมากพอ, น้ำหนักเบา, จับถนัดมือ เมื่อคุณใช้ได้คล่องแล้ว คาดว่ามันก็จะเก่าพอดี แล้วคุณค่อยไปหาซื้อตัวใหม่ที่ดีกว่าตัวเดิม

2. อย่าหลงเชื่อ ดิจิตอล ซูม
อย่าไปเชื่อคนขายเกี่ยวกับเรื่องของดิจิตอลซูม พูดให้เข้าใจง่ายๆ ดิจิตอลซูมก็คือการซูมสมมุติที่ระบบดิจิตอลทำให้ ไม่ใช่ความสามารถของเลนส์ ความแตกต่างก็คือ ดิจิตอลซูม จะเป็นการซูมที่ทำให้ภาพไม่คมชัด และอาจจะมีเม็ดสีขึ้นเต็มภาพ เพราะฉะนั้นให้เลือกดูที่ออฟติคอลซูมที่สูงที่สุดเท่าที่งบอำนวยดีกว่า (ยิ่งซูมได้มาก คุณก็สามารถดึงภาพเข้ามาได้ใก้ลมากขึ้น, สามารถยืนได้ห่างจะสิ่งที่ต้องการจะถ่ายได้มากขึ้น)

3. 2 อย่างที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อ
นั่นก็คือ การ์ดความจุ หรือที่เรียกว่าเมม กับแบตเตอรี่ คุณคงไม่อยากจะซื้อกล้องที่ใช้การ์ดเมมที่ชาวบ้านเขาไม่นิยมใช้กันใช่ไหม เพราะนอกจากซื้อกล้องแล้วคุณยังจะต้องลงทุนซื้อตัวอ่านการ์ดที่ดูดข้อมูล เก็บเข้าคอมฯอีกต่างหาก เอาเป็นว่าแนะนำให้หากล้องที่ใช้ CF การ์ด ส่วนเมมโมรี่ ก็เช่นเดียวกัน คุณคงไม่อยากจะมีที่ชาร์ตแบตแบบหลากชนิดเต็มบ้านไปหมด 2 สิ่งนี้แนะนำให้ใช้แบบที่ส่วนใหญ่เขาใช้กันเพราะอนาคตถ้าคุณจะซื้อกล้อง ตัวใหม่ คุณก็จะสามารถนำ 2 อย่างนี้ไปใช้ต่อได้

4. อย่าดูที่ขนาดของกล้องเพียงอย่างเดียว
ต้องบอกว่ากล้องดิจิตอลสมัยนี้ จิ๋วแต่แจ๋ว แม้จะเครื่องเล็กแต่คุณสมบัติไม่แพ้กล้องระดับมืออาชีพ แต่ก็นั่นแหละ สาระสำคัญคือ ต้องดูว่ามันเหมาะมือคุณหรือเปล่า น้ำหนักสิ่งมีผลต่อการพกพา คุณอาจจะไม่ต้องการกล้องที่เล็กที่สุด แต่คุณต้องการกล้องที่เหมาะมือต่างหาก


5. ระวังโปรโมชั่น
กล้องที่มาพร้อมกับโปรโมชั่น แถมนู่น นี่นั่น มีการ์ดให้ พร้อมขาตั้ง มีกระเป๋า สารพัด มันก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าลืมมองที่คุณภาพของกล้อง ของภาพที่จะออกมาด้วย อย่าลืมว่าคุณจะซื้อกล้องไม่ได้ซื้อโปรโมชั่น

 
6. ตรวจสอบความสามารถในการซูมให้แน่ใจ
บางทีคุณอาจจะเคยเห็นโฆษณาบอกว่ากล้องนี้ซูมได้ 10x (10 เท่า) เห็นอย่างนี้แล้วคุณก็ต้องถามให้แน่ว่า 10x เนี่ยออพติคอลซูมกี่x และ ดิจิตอลซูมกี่x เพราะที่บอกว่า 10x เนี่ยมักจะเอาสองอย่างนี้มารวมกัน ฉะนั้นให้คุณสนใจที่ออพติคอลซูมเลือกที่มากที่สุดเท่าที่มีงบ ไม่ต้องไปสนใจที่ดิจิตอลซูม

 
7. ดูภาพตัวอย่างก่อนซื้อ จะทำให้เราทราบว่ากล้องตัวนี้ถ่ายภาพได้คมชัดแค่ไหน
ข้อดีของกล้องดิจิตอลก็คือมันสามารถพรีวิวภาพที่ถ่ายได้ในช่องมองภาพ LCD ตรงนี้ที่คุณต้องดูว่ามันใหญ่พอสำหรับคุณหรือเปล่า (ยิ่งใหญ่มากก็เปลืองแบต) และสามารถขยายภาพดูได้หรือเปล่า ขยายดูสัก 100% เพื่อจะได้เช็คได้ว่ากล้องถ่ายได้ชัดเท่าที่ต้องการหรือเปล่า



8. มีไมโครโฟนในตัวหรือเปล่า
อย่าทำหน้าสงสัยว่าจะเอาไปทำไม ก็ในเมื่อซื้อกล้องไปถ่ายภาพนิ่ง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามถึงประโยชน์ของมัน 2 ประการ คือ คุณสามารถใช้กล้องบันทึกเสียงได้ และ สามารถบันทึกภาพวิดีโอสั้นๆ ได้



9. ปริมาณพิกเซลที่แท้จริง
ถ้ากล้องที่คุณสนใจบอกว่ามี 10 megapixel และใช้เทคโนโลยี Foveon x3 ให้เอา 3 หาร 10 นั่นแปลว่ากล้องตัวนั้นมีพิกเซลที่แท้จริงเพียง 3.3 megapixel เพราะ
เทคโนโลยี Foveon x3 คือการจำลองพิกเซล


10. ความจุภาพ
เมื่อตัดสินใจซื้อกล้องแล้วก็เตรียมเงินซื้อการ์ดแมมไว้ด้วยเลย เพราะยังไงที่เขาแถมมาก็มักจะไม่ค่อยพอกับความต้องการอยู่แล้ว

 
11. มีโปรแกรมถ่ายภาพกลางคืน
มีกล้องเป็นของตัวเองแล้ว จะอย่างไรก็คงต้องมีโอกาสได้ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย หรือถ่ายตอนกลางคืนแน่ๆ เพราะฉะนั้นก็ดูเลยว่ากล้องตัวที่สนใจมี ISO สูงสุดเท่าไร (สูงไว้ก่อนดี เพราะยิ่งมืดก็ยิ่งต้องใข ISO สูงๆ), มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวหรือเปล่า, มีโหมดถ่ายภาพกลางคืนให้มั้ย

 
12. อย่าไปยึดติดกับเมก้าพิกเซล
ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น กล้องก็โฆษณาว่ามีจำนวนเมก้าพิกเซลมากขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงมีจำนวนเมก้าพิกเซลเยอะๆ ก็ใช่ว่าคุณจะได้ภาพที่ชัด และยิ่งถ้าคุณแค่จะถ่ายภาพแล้วอัดรูปแค่ไม่กี่นิ้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เมก้าพิกเซลสูงๆ ลองพิจารณาสิ่งอื่นๆ ด้วยเช่น ความเร็วสูงสุด-ต่ำสุดของชัตเตอร์ (ถ่ายได้ฉับไว เช่น ถ่ายภาพคนวิ่ง), ระยะเวลาการเปิดกล้อง ใช้เวลานานเท่าไรถึงจะถ่ายได้

 
13. เผื่อเงินไว้ด้วย เพราะบางทีอาจจะไม่ใช่แค่กล้องที่ต้องซื้อ
เมื่อมีกล้องก็ต้องมีเมมการ์ดไว้เก็บภาพ, ต้องมีการ์ดรีดเดอร์เอาไว้ดูดภาพจากกล้องเก็บเข้าคอมพ์, มีที่ชาร์ตแบตกล้อง, กระเป๋ากล้อง, ขาตั้ง บางทีอาจจะต้องเพิ่มฮาร์ดดิสก์คอมพ์ด้วยซ้ำ ยังไงถ้าต้องซื้อก็ซื้อพร้อมกันกับกล้องรวดเดียวเลย จะได้ต่อรองได้ราคาพิเศษ

 
14. ระวังของถูก
ใครๆ ก็อยากได้ของถูก นอกจากจะเตือนให้ระวังโปรโมชั่นล่อใจแล้ว แนะนำให้หาซื้อในร้านค้าที่เราไว้ใจ หรือคุ้นเคย เพราะจะได้ไม่ถูกหลอกย้อมแมวขายแล้ว ยังอุ่นใจเรื่องบริการหลังการขายได้อีกด้วย

 
15. โปรแกรมถ่ายอัตโนมัติ
โหมดถ่ายภาพอัตโนมัติ อาทิ ถ่ายกลางคืน, ถ่ายภาพบุคคล, ถ่ายภาพกีฬา, ถ่ายพลุ ฯลฯ เหล่านี้ต้องมี เพราะจะทำให้การถ่ายภาพของคุณสะดวก และสนุกขึ้น



16. มีแฟลชในตัวหรือเปล่า
มันเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน เพราะฉะนั้นควรจะเลือกที่มีแฟลชในตัว ไม่งั้นจะถ่ายภาพกลางคืนได้ไง

 
17. กล้องเก่าอย่าทิ้ง
ได้ใหม่อย่าลืมเก่า ของเก่ามีประโยชน์ ลองเอาไปให้ พ่อแม่ญาติพี่น้องใช้, เก็บไว้ใช้ในกรณีที่ตัวใหม่มีปัญหา, เอาไปบริจาค(ได้บุญ) หรือไม่ก็เอาไปเทิร์นเปลี่ยนเป็นเมมการ์ด ฯลฯ

 
18. ออฟติคอล ซูมเท่าไรถึงจะพอ
สงสัยใช่มั้ยว่าตกลงจะเลือกซื้อกล้องที่มีจำนวน ออพติคอลซูมเท่าไรถึงจะพอ มีข้อแนะนำ ถ้าคุณจะเอาไปใช้ถ่ายคนเป็นหลัก เช่น ถ่ายเพื่อนๆ ในงานปาร์ตี้ เลือกซื้อสัก 2x, 3x ก็พอ แต่ถ้าเน้นถ่าย outdoor ถ่ายวิว ถ่ายตึกก็ต้อง 5x ขึ้น แต่ถ้าต้องการใช้ถ่ายภาพที่เคลื่อนไหวที่ความเร็วสูง เช่น ถ่ายภาพคนวิ่ง รถแล่น สัตว์วิ่ง ก็ต้อง 7x ขึ้นไป อย่าลืมนะครับว่าต้องดูที่ ออพติคอลซูมเท่านั้น 

 
19. มีช่องต่อขาตั้งกล้องหรือเปล่า
เผื่อว่าคุณจะต้องตั้งกล้องภ่ายภาพ เช่น ตั้งเวลาถ่าย, ตั้งถ่ายพลุ

 
20. ลองเปรียบเทียบราคาในเนตดูก่อนซื้อ
เป็นอีกหนทางหนึ่งสำหรับคนฉลาดซื้อ ขยันเข้าอินเตอร์เนตเช็คราคาร้านนู้นร้านนี้ ก่อนจะตัดสินใจซื้อ หรือเดินเล่นดูหลายๆ ร้าน ถามราคาก่อนเลือกซื้อ

 
21. ลองอ่านรีวิว ที่เขาแนะนำดูด้วย
ทั้งในเน็ต และนิตยสารเกี่ยวกับกล้องทุกฉบับ มีการรีวิวทดสอบกล้องให้คุณได้เลือกอ่านอยู่แล้ว ลองอ่านดูเสียหน่อย แม้ว่าจะมีศัพท์เทคนิค ที่ไม่เห็นจะรู้เรื่อง แต่ก็เอาเถอะ เผื่อว่ามันจะมีข้อมูลที่คุณพอจะเข้าใช้แล้วนำไปใช้ในการตัดสินใจซื้อ

 
22. ยิ่งมีเมก้าพิกเซลเท่าไรก็ยิ่งดี?
แนะนำไปว่าเมก้าพิกเซลไม่ใช่สิ่งสำคัญในการเลือกซื้อกล้อง มีมากไปก็ราคาแพง ซึ่งก็ไม่ได้ใช้ ถ้าคุณต้องการซื้อกล้องแล้วนำมา print รูปขนาด 8x10 ฟันธงเลยว่าคุณหากล้องสัก 5 megapixel ก็พอ มากกว่านี้ถือว่าไม่จำเป็น น้อยกว่านี้ก็จะได้คุณภาพรูปที่ไม่เพียงพอ

 
23. ยิ่งมีฟังก์ชั่นมากเท่าไรยิ่งดี?
สำหรับมือใหม่มากๆ ลองมองหากล้องที่มีฟังก์ชั่น full control หรือโหมดอัตโนมัติแบบที่คุณกดชัตเตอร์อย่างเดียว คำนวนทุกอย่างให้เสร็จสรรพ อย่าลืมหาที่ไวท์บาลานซ์และไอเอสโอเป็นออโต้ด้วย จะทำให้ถ่ายง่ายขึ้นอีกเยอะ

 
24. กันน้ำได้ไหม
เผื่อว่ามันจะหลุดมือพลัดตกน้ำ หรือตากฝน

 
25. มี iso ต่ำสุด สูงสุด เท่าไร
ISOสูงๆ ทำให้คุณถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้ดี แต่มันก็ทำให้ภาพเกิดนอยส์ noise คือภาพเป็นเม็ดสีเล็กๆๆๆ กลับกัน ISOต่ำๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ มันจะทำให้ภาพของคุณชัดใสมากขึ้น ลองมองหาISOสัก 50 และใช้ถ่ายในที่แสงจัดๆ จะได้ภาพที่ชัดสวยมาก




ที่มา : http://stonezoup.exteen.com/20080114/entry 

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประเภทกล้อง

ประเภทของกล้องถ่ายรูป





1.กล้องคอมแพ็ค (compact) เป็นกล้องที่ใช้งานง่ายมากเพียงเปิด กดชัตเตอร์ ก็จะได้รูปออกมาชมแล้ว กล้องจะมีขนาดเล็ก พกพาง่าย และสามารถแต่งภาพในกล้องได้ด้วย อีกทั้งยังมีความคมชัดที่มากด้วย แต่ไม่สามารถตั้งค่าเกี่ยวกับการถ่ายภาพได้มาก และมีข้อจำกัดเรื่องการซูม (Zoom) ที่ซูมได้น้อย (แต่รุ่นใหม่ๆก็มีการซูมได้เยอะ)

2.กล้องโปรซูมเมอร์ (Prosumer)  เป็นกล้องที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น สามารถปรับตั้งค่าเกี่ยวกับการถ่ายภาพได้มากขึ้น มีการซูมที่มากขึ้น และคุณภาพของภาพที่มากขึ้น บางรุ่นสามารถใส่อุปกรณ์เสริมได้ เช่น แฟลช ตัวเสริมเลนส์ แต่ก็มีข้อจำกัดในบางเรื่อง เช่น ปรับค่าที่ยังไม่สามารถปรับได้ทั้งหมด และกล้องประเภทนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้


3.กล้อง DSLR (Digital Single Lens Reflex)  แปลตามตัวก็คือ กล้องดิจิตอลสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว จะเห็นได้ตามที่มืออาชีพใช้กัน เป็นกล้องที่มีขนาดใหญ่ ให้คุณภาพของภาพที่สูง และสามารถปรับค่าเกี่ยวกับการถ่ายภาพได้ทุกอย่าง มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถใส่อุปกรณ์เสริมได้หลายอย่าง และสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งหมายความว่า ทำให้ได้ภาพที่หลากหลาย และคุณภาพของภาพที่มากขึ้นนั่นเอง




ที่มา : http://techorpic.blogspot.com/2013/06/novice-ep1.html


วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

10 เทคนิคการถ่ายภาพอย่างง่าย

 10 เทคนิคการถ่ายภาพอย่างง่าย

 

 

1. ทำกล้องให้มั่นคงไม่สั่นไหว

ปัญหา หาการถ่ายภาพออกมาแล้วไม่ชัดถือว่าเป็นปัญหาหลัก แต่มีเทคนิคง่ายๆที่ สามารถทำได้ถ่ายภาพได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าภาพที่ออกมาจะไม่มีสั่น ไหว สิ่งที่ดีที่จะช่วยไม่ให้ภาพสั่นไหวคือ การใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพ แต่ถ้า คุณไม่มีขาตั้งกล้อง หรือไปใน สถานที่ไม่สามารถนำขาตั้งกล้องไปได้ ก็ให้หา สถานที่หรือสิ่งของที่สามารถวางกล้องได้ เช่น บนโต๊ะ, ฝากระโปรงรถ, หรืออะไรก็ ตามที่สามารถวางกล้องได้ แต่ถ้ายังไม่มีอยากให้ทำตามวิธีง่าย 4 ขั้นตอนตามนี้
1. ถือกล้องด้วย 2 มือ
2. ให้ข้อศอกอยู่ในระดับหน้าอก และให้แขนแนบชิดกับลำตัว
3. อย่าเกรงปล่อบตัวตามสบาย
4. หายใจลึกๆ และให้กลั้นหายในระหว่างที่กำลังจะกดซัตเตอร์ เพื่อไม่ให้มือสั่นในระหว่างการกดซัตเตอร์

2. การถ่ายภาพแนวนอนกับแนวตั้ง

ใน การถ่ายภาพนั้นอยากให้ลองถ่ายรูปในแบบแนวนอน ปกติ และ แบบแนวตั้งดูบ้าง ในบางสถานการณ์การ ถ่ายภาพแบบแนวตั้งและแนวนอนจะให้อารมณ์ของ ภาพที่ออกมานั้นต่างกันไปด้วย เช่น ในการถ่ายภาพตึก หรือต้นไม้ หรือวัตถุที่มีความสูง เมื่อถ่ายภาพในแนวตั้ง จะแสดงออกถึงความสูงได้อย่างเด่นชัด และถ้า ต้องการจะสื่อให้เห็นถึงความกว้าง ก็ให้ถ่ายในลักษณะ แนวนอน ซึ่งจะเหมาะสมกับการถ่ายภาพวิว

3. การวางเส้นขอบฟ้าในการถ่ายวิว

เทคนิค ในการถ่ายภาพวิวให้สวยนั้นควร คำนึงถึงการจัดองค์ประกอบของภาพด้วย โดยเฉพาะ เส้นขอบฟ้า โดยเฉพาะเมื่อคุณ ต้องการที่จะเน้นท้องฟ้าที่สวยงาม โดยที่ให้ คุณจัดองค์ประกอบภาพโดยให้ ท้องฟ้าอยู่ ต่ำลงมา แต่ถ้าต้องการ เน้นวัตถุ หรือ วิว ที่อยู่ข้างหน้าก็ให้เน้นที่วัตถุโดยให้ เส้นขอบ ฟ้าอยู่ในระดับสูงในภาพ

4. Rule of Third

นอก เหนือจากการวางองค์ประกอบของภาพให้อยู่ตรงกลางของภาพแล้ว อยากให้ ลองวิธีการวางองค์ประกอบของภาพแบบใหม่ๆดูกัน ด้วยวิธีการง่ายๆ ขั้นแรกให้แบ่ง หน้าจอ LCD บนตัวกล้องของคุณออกเป็น 9 ส่วน เหมือนในภาพ ทีนี้ลองวางสิ่งที่ ต้องการเน้นในภาพ เช่น ภาพคนให้อยู่จุดที่เส้นแนวตั้งและแนวนอนตัดกัน โดยวิธีนี้ จะทำให้มีความสมดุลและเป็นธรรมชาติมากกว่าให้คนอยู่ตรงกลางของภาพ ยิ่งไป กว่านั้นถ้าให้ดวงตาของคนในภาพอยู่ระหว่างจุดตัด จะทำให้ภาพดูนุ่มนวลกว่าอยู่ ตรงกลาง หรือถ้าคุณต้องการถ่ายภาพวิวโดยจะเน้นส่วนไหนก็ให้ส่วนนั้นที่ต้องการ จะเน้น มีส่วน 2 ต่อ 3 ในภาพ

5. ช่วงเวลาในการถ่ายภาพ

ช่วง เวลาในการถ่ายภาพนั้นก็มีส่วนสำคัญในการถ่ายภาพ เหมือนกันโดยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพที่แจ้งก็ คือ ตอนเช้าโดยที่แสงอาทิตย์ในยามเช้านั้นจะให้อารมณ์ ของ ความเป็นธรรมชาติหรือถ้าจะถ่ายดวงอาทิตย์ ช่วง ตอนเย็นๆ ก่อนพระอาทิตย์จะตกเต็มที่ก็จะให้แสงที่ สวยงาม แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ควรจะเลี่ยงในการ ถ่ายภาพก็คือ ช่วงกลางวัน หรือตอนบ่ายโมงถึง บ่าย สองโมง เนื่องจากแสงอาทิตย์ช่วงเวลานี้จะให้แสงจ้าไม่ เป็นธรรมชาติ

6. ถ่ายภาพให้ใกล้ขึ้น

การถ่ายให้ใกล้กับวัตถุมากขึ้นนั้นก็สามารถเปลื่ยนอารมณ์ และสื่อให้เห็นความสวยงาม
ของภาพได้มากยิ่งขึ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถ่ายภาพ ดอกไม้ที่สวยงาม หรือ แจกัน
คริสตัล โดยการถ่ายภาพระยะใกล้นั้นสามารถทำได้ อย่างง่ายโดยใช้โหมดถ่ายภาพ
Marco ซึ่งมีอยู่ในกล้อง Cyber-shot ทุกรุ่น

7. การถ่ายภาพแบบมีเงาหรือมีเงาสะท้อน

นอก เหนือจากการถ่ายรูปวิว หรือ รูปบุคคลแบบปกติแล้ว การเล่นกับเงาของวัตถุ หรือการสะท้อนของเงากับ กระจก, ผิวน้ำ สิ่งที่สะท้อนเงาได้ ก็ถือเป็นแสดงอารมณ์ของภาพอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากการถ่ายรูปแบบปกติ

8. นำสิ่งที่ต้องการเน้นออกจากตรงกลางของภาพ

การ วางภาพไว้ตรงกลางนั้นก็ถือว่าเป็นภาพที่สวยแล้ว แต่ถ้าลองเปลื่ยนตำแหน่งให้มาอยู่ทางด้านซ้ายหรือทางด้านขวานั้น ก็จะทำให้ภาพหรือสิ่งที่ต้องการเน้นดูมีสีสันแล้วมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น โดยสามารถใช้หลักการ Rule of Third ที่ได้นำเสนอในเบื้องต้นมาประยุกต์ประกอบกันได้

9. คุณรู้จักระยะแฟลชของกล้องคุณหรือเปล่า?

สิ่ง หนึ่งที่เป็นข้อผิดพลาดในการถ่ายภาพด้วยแฟลชนั้นคือ ถ่ายภาพที่อยู่ระยะเกินกว่าระยะของแฟลช ทำไมถึงถือเป็นข้อผิดพลาดก็เพราะว่า ภาพที่ถ่ายอยู่เกินระยะแฟลชนั้นจะทำให้ภาพ, ฉากหลัง หรือวัตถุ นั้นมืดไม่สวยงาม ดังนั้นควรจะรู้ว่าระยะแฟลชของกล้องนั้นมีระยะเท่าไร แต่ถ้าไม่รู้ก็ให้ลองเล่นกับแฟลชดู แต่โดยปกติแล้วระยะของแฟลชจะอยู่ที่ 1-3 เมตร ดังนั้นควรให้อยู่ระยะที่ปลอดภัยที่สุดคือ ไม่เกิน 1 เมตร

10. เทคนิคการใช้แฟลช

บาง คนอาจจะคิดว่าแฟลชนั้นใช้เฉพาะถ่ายภาพตอนกลางคืน แต่จริงๆแล้ว แฟลชนั้นก็สามารถใช้ในสถานการณ์ที่มีแสงสว่างพอแต่ในหน้าบุคคลในภาพมี ความมืดมาก ก็สามารถใช้แฟลชช่วยในการทำให้ใบหน้ามีความสว่างยิ่งขึ้น อันนี้สามารถใช้ในกรณีถ่ายภาพย้อนแสงได้ด้วย

ที่มา http://my.sony.co.th/tips/064_CyberShot/tipn064_th.html

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

7 เทคนิคง่ายๆของการถ่ายภาพบุคคล


โฟกัสที่ตา

หลักการสำคัญข้อแรกของการถายภาพบุคคลคือการโฟกัสที่ดวงตา เนื่องจากดวงตานั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดในภาพเนื่องจากเป็นสิ่งที่บ่งบอกและ แสดงถึงอารมณ์ของภาพ ถ้าหากว่าเราไม่ได้โฟกัสที่ดวงตาและทำให้ตาไม่ชัดนั้นตัวแบบที่เราถ่ายจะดู เหมือนคนสุขภาพไม่ดีดูเหมือนคนป่วยทำให้ภาพขาดความน่าสนใจไปในทันที เหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการถ่ายภาพบุคคลนั้นเรามักจะใช้รูรับแสงที่ กว้างซึ่งจะทำให้มีระยะชัดลึกที่น้อย ถึงแม้ว่าเราจะทำการโฟกัสที่ใบหน้าแล้วก็ตามแต่หลายครั้งเอาอาจพบกรณีที่ จมูกชัดแต่ดวงตาไม่ชัดหรือบางครั้งเป็นแก้มหรือว่าใบหูชัดแต่ดวงตาไม่ชัดก็ มี การโฟกัสที่ดวงตาให้ชัดนั้นบางครั้งบริเวณไหล่หรือว่าใบหูไม่ชัดก็จะยัง สามารถเป็นภาพที่ดีได้ ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของหัวใจการโฟกัสดวงตาให้ชัดจึงสำคัญเป็นประการแรก

pic_01

อย่าตัดบริเวณข้อต่อ

หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการจัดองค์ประกอบภาพนั้นอย่าตัดกรอบ ภาพบริเวณข้อต่อ ซึ่งจะได้แก่ คอ ข้อศอก ข้อมือ เอว หัวเข่า ข้อเท้า เนื่องจากจะทำให้อารมณ์ภาพนั้นดูไม่ดี ความรู้สึกของคนดูภาพจะรู้สึกเหมือนว่าตัวแบบของเรานั้นแขนหรือขาขาดได้ การตัดกรอบภาพบริเวณแขนขาหรือลำตัวนั้นทำได้เพียงแต่เราต้องไม่ตัดบริเวณข้อ ต่อเท่านั้นเอง เนื่องจากข้อต่อต่างๆเป็นจุดเชื่อมต่อของร่างกายอยู่แล้ว การตัดบริเวณข้อต่อนั้นจะเป็นการเน้นย้ำความรู้สึกคนดูภาพว่าอวัยวะส่วนนั้น อาจขาดหายไปได้มากจนเกินไป การระวังไม่ตัดบริเวณข้อต่อจะทำให้ได้ภาพที่ดีกว่า

pic_02

 

สื่อสารกับตัวแบบของคุณให้ชัดเจน

เพราะว่าการถ่ายภาพ Portrait นั้นช่างภาพไม่ได้ทำงานคนเดียวเหมือนกับการถ่ายภาพแนวอื่นเช่นการถ่ายภาพ ทิวทัศน์ การถ่ายภาพบุคคลนั้นจึงเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ถ่ายและตัวแบบ ซึ่งต้องมีการสื่อสารพูดคุยกันว่าอย่างได้อารมณ์และท่าทางแบบไหน ศิลปะในการสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญประการแรกเลย คืออย่าทำให้ตัวแบบเรามีความเครียดอย่างเด็ดขาด เพราะว่าจะทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติออกมาได้ พยายามบอกเล่าและสื่อสารกันให้เข้าใจให้ได้ ว่าท่านต้องการอารมณ์และท่าทางแบบไหน เมื่อสามารถสื่อสารได้ตรงกันแล้วเชื่อแน่นอนได้ว่า คุณจะได้อารมณ์ของภาพแบบที่คุณต้องการได้ไม่ยากนัก

pic_03

ปล่อยให้เขาเป็นในแบบที่เขาเป็น

ในการถ่ายภาพบุคคลบางอย่างเช่นภาพแนววิถีชีวิต แนวสารคดีหรือว่าแนวอื่นๆก็ตาม บางครั้งเราต้องถ่ายภาพเพื่อสื่อความเป็นตัวตนของคนๆนั้นออกมา มากกว่าการที่จะให้คนๆนั้นทำตาม Concept ที่เราวางเอาไว้ ซึ่งภาพแนวนี้เราต้องมองให้เห็นและดึงความเป็นตัวตนของเขาออกมา โดยปล่อยให้เขาเป็นในแบบที่เขาเป็น ซึ่งสำหรับภาพแนววิถีชีวิตหรือแนวสารคดีนั้น การเดินเข้าไปถ่ายตรงๆนั้นค่อนข้างจะเสียมารยาทและทำให้เกิดความเข้าใจผิด ได้บ่อย การที่คนมีกล้องมีสิทธิ์ที่จะถ่ายภาพนั้นคนถูกถ่ายก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ ถ่ายได้พอๆกัน เราควรที่จะเข้าไปพบปะพูดคุยกันเสียก่อนแสดงความเป็นมิตรกับผู้ที่เราจะถ่าย ภาพเขา ถ้าหากว่าเราผูกมิตรกับเขาได้โอกาสที่จะได้ภาพสวยๆนั้นมีความเป็นไปได้สูง ครับ บางครั้งเราอาจต้องพูดคุยไปถ่ายไปและคอยจับกริยาท่าทางของเขาและก็ค่อยๆถ่าย ไป แน่นอนครับในหลายๆครั้งเราต้องรอจับจังหวะถ่ายเอาเอง เพราะการจะบอกให้เขาทำท่าตามที่เราต้องการนั้นบางครั้งจะทำให้เขาเกร็งได้ ครับ อย่างภาพตัวอย่างนี้ผมถ่ายภาพ “แป๊ะหลี” ซึ่งเป็นพ่อค้าขายกาแฟคนดังแห่งตลาดคลองสวนครับ ก็ต้องอาศัยเข้าไปนั่งพูดคุยกันอยู่สักพักถึงจะได้รูปดีๆมาครับ

pic_04

Window light

การควบคุมทิศทางแสงนั้นถือเป็นเทคนิคสำคัญอย่างหนึ่งของการถ่ายภาพบุคคล ให้มีความแตกต่าง ในสถานะการณ์ต่างๆนั้นก็จะมีสภาพแสงที่แตกต่างกันไป ซึ่งเราต้องหาให้เจอว่าจะใช้งานแต่ละสภาพแสงนั้นๆอย่างไร หนึ่งเทคนิคที่สามารถใช้งานได้ง่ายคือการใช้งานแสงที่เข้ามาเพียงด้านเดียว ซึ่งจะเรียกว่า Window light เทคนิคนี้ใช้งานไม่ยากและสร้างความแตกต่างในภาพได้ดี เราสามารถใช้เทคนิคนี้ได้โดยการหาสถานที่ที่มีแสงเข้ามาด้านเดียว เช่นด้านข้างหน้าต่าง ประตู หรือว่าช่องกำแพงก็ได้ ขอให้เป็นสถานที่ๆสามารรถบีบให้แสงเข้ามาจากด้านเดียวได้ แล้วจัดให้แสงเข้ามาด้านข้างของตัวแบบ เท่านี้เราก็จะได้ภาพแสงที่แตกต่างจากปกติอยู่พอสมควรแล้วซึ่งเทคนิคนี้ไม่ ยากจนเกินไปนัก อยู่ที่เราจะสามารถหาสภาพแสงในสถานที่นั้นๆได้หรือไม่ จากภาพตัวอย่างข้างล่างเป็นภาพที่ให้ตัวแบบยืนข้างๆช่องแสง เพื่อให้มีแสงเข้ามาทางด้านขวาของภาพเพียงด้านเดียว ทำให้ได้ภาพที่มีลักษณะแปลกตาและน่าค้นหามากขึ้น
pic_05

ถ่ายภาพย้อนแสง

หลายครั้งเราอาจเคยได้ยินว่าการถ่ายภาพย้อนแสงนั้นจะให้ให้ตัวแบบหน้าดำ และได้ภาพที่ไม่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วการถ่ายภาพบุคคลย้อนแสงนั้นมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ โดยเราจะได้ประกายของเส้นผมเกิดขึ้นจากการถ่ายภาพย้อนแสง ซึ่งสิ่งที่เราเองทำการแก้ไขคือการทำไม่ให้ตัวแบบเรานั้นหน้าดำซึ่งวิธีแก้ นั้นจะมีอยู่ 3 วิธีด้วยกันได้แก่

1. ใช้การวัดแสงแบบเฉพาะจุดวัดแสงที่บริเวณแก้มของตัวแบบ ( วิธีการนี้อาจทำให้ฉากหลังว่างเกินไป)
2. ใช้แฟลชช่วยเติมแสงบริเวณใบหน้า
3. ใช้ Reflex ในการเติมแสงบริเวณใบหน้า ( วิธีนี้จะให้แสงที่นุ่มและมีมิติมากกว่าการใช้แฟลชธรรมดา แต่ต้องมีคนช่วยถือให้)

จาก สามวิธีการข้างต้นนั้นจะทำให้เราสามารถถ่ายภาพย้อนแสงโดยมีประกายที่เส้นผม ได้ โดยที่ไม่ทำให้ตัวแบบของเราหน้าดำอีกต่อไป วิธีการนี้ไม่ยากและนำไปปรับใช้กับสถานะการณ์ต่างๆได้ไม่ยากครับ
pic_06

การถ่ายภาพบุคคลร่วมกับทิวทัศน์

ในหลายๆครั้งที่เราต้องถ่ายภาพบุคคลร่วมกับฉากหลังโดยที่เราจำเป็นต้อง ให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างเช่น การไปถ่ายรูปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆหรือการถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญ เรามักพบว่าโดยทั่วไปมักจะวางตัวแบบไว้ตรงกลางภาพซึ่งในหลายครั้งตัวแบบของ เราจะไปบดบังภาพทิวทัศน์เบื้องหลัง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีวิธีง่ายๆที่จะทำให้ทั้งสองสิ่งอยู่ร่วมกันได้ ใน Tips&Trick ฉบับที่แล้ว เราพูดถึงการวางจุดสนใจในภาพซึ่งเราสามารถนำหลักการนั้นมาใช้งานร่วมกับการ ถ่ายภาพบุคคลได้เช่นกัน โดยให้เราทำการวางคนไว้ด้านซ้ายหรือด้านขวาภาพตามกฎของจุดตัด 9 ช่อง (ดูรายละเอียดจุดตัด 9 ช่องได้ใน Tips ฉบับก่อน) จะทำให้สามารถเก็บภาพของทิวทัศน์เบื้องหลังและภาพของตัวแบบเอาไว้ได้โดยไม่ มีปัญหาใดๆ อีกวิธีการหนึ่งก็คือถ้าหากว่าเราต้องการถ่ายร่วมกับตึกหรือสิ่งที่มีลักษณะ เป็นทรงตั้ง ให้เราจัดองค์ประกอบภาพเหมือนกับเป็นการถ่ายภาพคู่ก็ได้โดยให้จินตนาการว่า สถานที่นั้นๆเป็นคนอีกคนหนึ่ง ดังรูปที่สองด้านล่างที่เป็นคนถ่ายคู่กับโดมของธรรมศาสตร์

pic_07


                                                                                                                                                                ที่มา : http://my.sony.co.th

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

TAKE A Photo.

เทคนิคถ่ายภาพเด็ด : มารู้จัก "bokeh (โบเก้)"

 

 Bokeh คืออะไรนั้น โบเก้แปลตาม ภาษาญี่ปุ่นว่า "เบลอ" แต่ถ้าเอาจริงๆ ในการถ่ายภาพ
จะใช้เรียกรูปแบบของการ Out of Focus (DOF) หรือการปรากฏของพื้นที่ในภาพถ่ายที่หลุด
โฟกัส นั่นคือการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอนั่นเอง ส่วนใหญ่เราจะชินกับคำว่าว่า แสงระยิบระยับ
โดยเมื่อแสงนั้นถูกเบลอ ก็คือ Bokeh ที่เรากำลังพูดถึงกันนั่นเอง

 

 

ทำไมบางภาพถึงมี โบเก้ และบางภาพ ไม่มีโบเก้?
   
     เราจะเห็นโบเก้ได้ชัดจาก จุดที่มีแสงลอดผ่านมาเป็นจุดๆ เช่น หลอดไฟ ช่องใบไม้
เป็นต้น โดย
สิ่งที่จำเป็นต่อการเกิด โบเก้ อย่างแรกเลย "แสง" แน่ล่ะ ถ้าไม่มีแสงก็เกิดไม่ได้แน่นอน แต่ต้องเป็นแสงที่มีแหล่งกำเนิดเป็นจุดๆ ด้วยนะ

     อย่างที่สอง เลนส์ที่ใช้ ควรมีรูรับแสงที่กว้าง เช่น 1.8 2.0 2.8 เลขยิ่งน้อย โบเก้ก็จะ
ใหญ่โต สวยงามตามไปด้วย และรูปร่างของโบเก้นั้น จะเป็นไปตามรูปทรงของ รูปรับแสง
มีตั้งแต่ 8 เหลี่ยม 6 เหลี่ยม 5 เหลี่ยม เป็นต้น

     อย่างที่สาม เลนส์ที่ใช้ ควรเป็นเป็นที่มีระยะเป็นเทเลโฟโต้ (เลนส์ซูมนั่นเอง) ควรที่
จะมีช่วงตั้งแต่ 50mm เป็นต้นไป จะเห็นได้ชัด

     อย่างที่สี่ ถ่ายให้หลังเบลอที่สุดเท่าที่ทำได้ และฉากหลังมีแหล่งกำเนิดแสง รูปร่าง
รูปทรงของโบเก้ ไม่ได้มีแต่ทรงกลมเท่านั้น แต่ยังมีหลายแบบเช่น ทรงหลายเหลี่ยม หัวใจ
ดาว (2อย่างหลังต้องใช้อุปกรณ์ช่วย)
 

นอกจากนี้ั ยังเอาโบเก้ไปประยุกต์ กับการถ่ายภาพประเภทต่างๆ ได้ เช่นการ
ถ่ายภาพ
พอทเทรตหรือการถ่ายภาพบุคคล เพื่อให้ภาพน่าสนใจมากขึ้น

 

  Credit : http://www.dek-d.com/content/photo/32125/